เมนู

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชากรมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่
พระผู้เป็นเจ้า โยมนี้เข้าใจว่าระลึกได้ด้วยจิต
พระนาคเสนซักว่า มหาบพิตรเข้าพระทัยว่าระลึกได้ด้วยจิตนั้น เข้าพระทัยถูกแล้วหรือ
นี่แน่ะอาตมาจะถาม เหมือนพระราชสมภารกระทำการอะไรไว้แล้วลืมเสีย พระองค์ทรงทราบ
ได้หรือประการใด
พระเจ้ากรุงมิลินท์จึงตรัสรับว่า หามิได้
พระนาคเสนจึงว่า สมัยนั้นพระราชสมภารเจ้านี้ไม่มีจิตหรือ อันธรรมดาว่า จะระลึก
ถึงสิ่งของข้างหนหลังล่วงลับไปนาน จะระลึกได้ก็อาศัยสติ อนึ่งกระทำการสิ่งไรเป็นการกุศลก็ดี
อกุศลก็ดี อาศัยแก่สติระลึกไป นัยหนึ่งสติมีอรรถว่าระลึกเลือกเอาแต่ชอบ นัยหนึ่งสติมีอรรถว่า
ระลึกไว้ไม่ให้ลืม จึงชื่อว่าสติ อันลักษณะจิตนี้เป็นพนักงานข้างจะคิดไป สตินี้เป็นพนักงานที่จะ
ระลึกมิให้หลงลืมได้ เหตุฉะนี้แหละจะระลึกได้ซึ่งการที่ล่วงไปคือกาลหลัง ๆ มานี้จะระลึกได้อาศัย
แก่สติ เสมือนคนบ้าหาสติมิได้ มีแต่จิตไม่รู้ผิดชอบคลุ้มไปคลั่งมา เพราะว่าหาสติมิได้ ที่จะ
ระลึกรู้สึกตัวได้บ้างเพราะว่ามีสติ บพิตรพระราชสมภารพึงเข้าพระทัยเถิด พระนาคเสนผู้ประเสริฐ
ก็ยังสมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นกษัตริย์ ให้โสมนัสยินดีด้วยพระอภิธรรมกถาด้วยประการฉะนี้
จิรกตสรณปัญหา คำรบ 10 จบเท่านี้

สติอภิชานันติปัญหา ที่ 11


ราชา

สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสถามพระนาคเสน
ว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สติที่ระลึกถึงข้าวของสารพัดทั้งปวงนี้ จะมีแก่พวกพระ
ผู้เป็นเจ้าผู้เป็นอภิชานะรู้ยิ่งพวกเดียวนี้หรือ หรือว่าจะมีแก่พวกกุฏุมพีคือผู้ที่ต้องตักเตือนบ้าง
เป็นประการใด
พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาว่า มหาราช ขอถวายพระพร สตินี้มีแก่คนที่รู้ยิ่ง และคนที่
เป็นกุฎุมพีก็มีสติด้วยกันสิ้น
พระเจ้ากรุงมิลินท์จึงตรัสว่า โยมนี้เห็นว่าคนที่รู้ยิ่งมีสติ เห็นว่ากุฎุมพีนั้นไม่มีสติ